Fujitsu จับมือ Veeam นำเสนอโซลูชั่นแบ็คอัพและกู้คืนข้อมูลที่ใช้งานง่าย

เพิ่มความสะดวกในการแบ็คอัพข้อมูลสำหรับเวอร์ชวลแมชชีน มอบความพร้อมใช้งานสูงสุดสำหรับโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินงาน ทั้งแบบติดตั้งในองค์กรและในระบบคลาวด์ พร้อมทั้งขยายความร่วมมือเพื่อนำเสนอการจัดการข้อมูลบนระบบคลาวด์จากวีมสำหรับกลุ่มผลิตภัณฑ์สตอเรจ ETERNUS ของฟูจิตสึ

ฟูจิตสึและวีม (Veeam) เพิ่มความสะดวกในการแบ็คอัพและกู้คืนข้อมูลสำหรับลูกค้าที่รันเวอร์ชวลแมชชีน (Virtual Machine) ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินงานในดาต้าเซ็นเตอร์ ภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว ลูกค้าจะสามารถปรับปรุงความพร้อมใช้งานของข้อมูลและกู้คืนข้อมูลได้รวดเร็วกว่าในกรณีที่เกิดภัยพิบัติหรือระบบหยุดทำงานโดยไม่คาดคิด ด้วยการผสานรวม Fujitsu ETERNUS โครงสร้างพื้นฐานสตอเรจที่หลากหลายที่สุดในอุตสาหกรรม และ Veeam Availability Suite ซึ่งเป็นโซลูชั่นการจัดการข้อมูลบนระบบคลาวด์ระดับชั้นนำ โดยทั้งหมดนี้จะช่วยให้บริษัทหลายแสนแห่งสามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง

เนื่องจากกิจกรรมขององค์กรธุรกิจส่วนใหญ่กำลังย้ายไปสู่สภาพแวดล้อมการประมวลผลแบบเวอร์ชวลไลซ์อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องปกป้องสภาพแวดล้อมแบบเวอร์ชวลไลซ์ โดยจะต้องสามารถแบ็คอัพและกู้คืนเวอร์ชวลแมชชีนได้อย่างรวดเร็ว และด้วยเหตุนี้ ฟูจิตสึและวีมจึงผนึกกำลังร่วมกันเพื่อเพิ่มความสะดวกและสร้างระบบงานอัตโนมัติสำหรับกระบวนการแบ็คอัพและกู้คืนเวอร์ชวลแมชชีนในสภาพแวดล้อมการใช้งานจริง ทั้งแบบติดตั้งภายในองค์กรและในระบบคลาวด์ ซึ่งจนถึงทุกวันนี้กระบวนการดังกล่าวสร้างความยากลำบากให้แก่ลูกค้าจำนวนมาก

นายโอลิวิเยร์ เดอลาชาแปล หัวหน้าฝ่ายบริหารกลุ่มผลิตภัณฑ์โดยรวมของฟูจิตสึ EMEIA กล่าวว่า “ในสภาพแวดล้อมแบบเวอร์ชวลไลซ์ในปัจจุบัน เวอร์ชวลแมชชีนที่รองรับงานที่เฉพาะเจาะจงได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินงาน แนวทางการแบ็คอัพข้อมูลที่สอดคล้องกันจำเป็นต้องมีการใช้สแน็ปช็อต (Snapshot) ที่สม่ำเสมอของสภาพแวดล้อมเวอร์ชวลแมชชีน เพื่อที่ว่าในกรณีที่ระบบเกิดล้มเหลวอย่างไม่คาดคิด ก็จะสามารถลดเวลาหยุดทำงานของระบบหรือดาวน์ไทม์ (Downtime) ให้เหลือน้อยที่สุด ด้วยการร่วมมือกับวีม ฟูจิตสึจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการปกป้องข้อมูลสำหรับเวอร์ชวลแมชชีน ด้วยการเพิ่มความสะดวกในการแบ็คอัพ VM ที่ใช้งานจริง ซึ่งจะช่วยให้ข้อมูลที่สำคัญอย่างยิ่งต่อธุรกิจมีความพร้อมใช้งานสูงสุด และช่วยให้สามารถกู้คืนข้อมูลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น”

นายเคน ริงดาห์ล รองประธานกลุ่มธุรกิจสถาปัตยกรรมความร่วมมือระดับโลกของวีม กล่าวว่า “การผนวกรวม Veeam Backup and Replication เข้ากับสตอเรจอาเรย์ Fujitsu ETERNUS จะช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการทำสแน็ปช็อตของสตอเรจและการกู้คืนข้อมูล และช่วยให้องค์กรต่างๆ ลดปัญหาข้อมูลสูญหาย โดยไม่ทำให้ระบบที่ใช้งานจริงมีภาระมากจนเกินไป แนวทางนี้นอกจากจะช่วยปรับปรุงการปกป้องข้อมูลแล้ว ยังช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการแบ็คอัพและกู้คืนเวอร์ชวลแมชชีนโดยไม่บั่นทอนประสิทธิภาพการทำงานอีกด้วย”

ด้วยการนำเสนอปลั๊กอิน Veeam Storage Snapshot สำหรับผลิตภัณฑ์ ETERNUS AF all-flash และไฮบริดสตอเรจ ETERNUS DX ของฟูจิตสึ ลูกค้าจะสามารถสร้างแบ็คอัพและสำเนา VM ที่สมบูรณ์จากสแน็ปช็อตได้บ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ โดยแทบจะไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมการใช้งานจริง ความสามารถด้านการปกป้องข้อมูลที่ก้าวล้ำนี้ช่วยแก้ไขปัญหาช่องว่างระหว่างระยะเวลาสูงสุดที่ยอมให้ข้อมูลสูญหาย (Recovery Point Objective - RPO) และเวลากู้คืนระบบที่ยอมรับได้ (Recovery Time Objective - RTO) ตามเป้าหมายที่กำหนด1 เทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยให้ข้อมูลพร้อมใช้งานตลอดเวลา และรองรับการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่องในกรณีที่เครือข่ายหรือระบบเกิดล่ม

ความร่วมมือในครั้งนี้นับเป็นพัฒนาการก้าวสำคัญสำหรับฟูจิตสึและวีมในการทำงานร่วมกัน โดยก่อนหน้านี้บริษัททั้งสองเคยร่วมมือกันเพื่อผนวกรวมซอฟต์แวร์ Veeam Data Mover เข้าไว้ในอุปกรณ์ปกป้องข้อมูล ETERNUS CS800 S7 ของฟูจิตสึ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการแบ็คอัพและกู้คืนข้อมูล และรวมซอฟต์แวร์ดังกล่าวเข้าไว้ในระบบเทป ETERNUS LT140 และ LT260 เพื่อรองรับการจัดเก็บข้อมูลระยะยาวบนเทปอย่างไร้กังวลสำหรับข้อมูลในเวอร์ชวลแมชชีน ซึ่งจำเป็นสำหรับการเก็บรักษาข้อมูลระยะยาวตามกฎระเบียบ

ด้วยการเพิ่มเติมปลั๊กอินซอฟต์แวร์ Veeam Storage Snapshot สำหรับ ETERNUS DX และ AF ของฟูจิตสึ ลูกค้าจะมั่นใจได้ว่าข้อมูลจะได้รับการปกป้องและพร้อมใช้งานอยู่เสมอ และรองรับธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งข้อมูลในระบบที่ใช้งานอยู่และข้อมูลที่จัดเก็บระยะยาว

ราคาและการวางจำหน่าย

ปลั๊กอินซอฟต์แวร์ Veeam Storage Snapshot สำหรับอาเรย์ Fujitsu ETERNUS DX และ AF เปิดให้ใช้งานฟรี และดาวน์โหลดได้แล้ววันนี้

หมายเหตุ

1 ระยะเวลาสูงสุดที่ยอมให้ข้อมูลสูญหาย (Recovery Point Objective - RPO) และเวลากู้คืนระบบที่ยอมรับได้ (Recovery Time Objective - RTO) เป็นพารามิเตอร์สำคัญสำหรับการปกป้องข้อมูลหรือการกู้คืนระบบอย่างมีประสิทธิภาพ โดย RPO เกี่ยวข้องกับระยะเวลาที่ระบบหยุดทำงานก่อนที่ธุรกิจจะได้รับความเสียหาย ส่วน RTO เกี่ยวข้องกับเวลาที่ต้องใช้ในการกู้คืนข้อมูลหลังจากที่ระบบล่ม องค์กรธุรกิจแต่ละแห่งกำหนดระดับที่แตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับงบประมาณ ทรัพยากร และความสำคัญของแอพพลิเคชั่น