ใหม่ JBL Link Bar เป็น Soundbar แบบชิ้นเดียว ที่มี Android TV ภายในตัว เปลี่ยนทีวีเครื่องเดิมให้กลายเป็น Android TV ผสาน Google Assistance สั่งงานด้วยเสียงทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ช่วยให้การค้นหาเพลงโปรดหรือวิดีโอที่ต้องการได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เริ่มวางจำหน่ายในไทยแล้วตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา
ราคาเปิดตัวอยู่ที่ 16,900 บาท โดยในช่วงแรก จัดโปรโมชั่นแถมฟรีลำโพง JBL Link 10 มูลค่า 4,990 บาทที่รองรับ Google Assistance เช่นกัน นอกจากนี้ยังรับสิทธิ์แลกซื้อลำโพงซับวูฟเฟอร์ไร้สาย JBL SW10 ในราคาเพียง 7,900 บาท เฉพาะร้านค้าที่ร่วมรายการ หมดเขต 31 กรกฎาคม 2563 ซึ่งในท้ายบทความจะมีรายละเอียดเพิ่มเติมว่าทำไมจึงควรซื้อลำโพงซับวูฟเฟอร์ไร้สายเพิ่มเติม
สเปกที่น่าสนใจ
- Soundbar แบบ 2.0 แชนเนล ให้กำลังขับสูงสุด 100W
- ประกอบด้วยลำโพง Tweeter 2 ตัว กับลำโพง Full Range 4 ตัว รวมเป็น 6 ตัว
- ตอบสนองช่วงความถี่เสียง 75Hz – 20kHz
- Bluetooth version 4.2
- เชื่อมต่อกับ Wi-Fi 802.11a/b/g/n/ac (2.4GHz/5GHz) และสาย LAN
- HDMI Input 3 ช่อง รองรับความละเอียดภาพ 4K
- มี Android TV และ Google Assistance
- Chromecast Built-in ภายในตัว
- ขนาด (W x H x D) 1020 x 60 x 93mm
JBL Link Bar มีดีไซน์ที่ทันสมัย ใช้งานได้ทั้งในห้องนอน ห้องนั่งเล่น จัดวางได้สะดวก มีไฟ LED แสดงสถานะการทำงานที่เห็นได้ชัดเจน มีไมโครโฟนรับเสียงทั้งที่ Soundbar และ Remote Control ทำให้สั่งงานด้วยเสียงได้สะดวก เชื่อมต่อกับทีวีเครื่องเดิมด้วยสาย HDMI ก็ทำให้กลายเป็น Android TV ทันที รองรับแอปพลิเคชั่นความบันเทิงได้มากมาย เป็นการร่วมมือกันระหว่าง JBL by Harman กับ Google Inc. จึงมั่นใจได้ว่ารองรับ Android TV ได้เต็มประสิทธิภาพ ดีกว่าการใช้ Android TV Box ต่อแยกต่างหาก และไม่ต้องวุ่นวายกับ Remote Control หลายอัน
ยลโฉมดีไซน์ JBL Link Bar
รองรับ Google Assistance, Wi-Fi, Bluetooth, HDMI, Dolby Audio ครบครัน
Android TV รองรับมากกว่า 3,000 แอปพลิเคชันและเกม
ภายในกล่อง มีสาย HDMI และคู่มือการใช้งานเบื้องต้นมาให้ด้วย
ฝารีโมตคอนโทรลเป็นระบบแม่เหล็ก แน่นหนา แต่ก็เปิดฝาได้ไม่ยาก ทนทานในระยะยาว
ติดตั้งง่ายด้วยขาแขวนพร้อมกระดาษตำแหน่งเจาะผนัง
ด้านบนมีปุ่มเลือก Input และปรับระดับเสียง พร้อมสวิตช์ปิดหรือเปิดไมโครโฟนสั่งงานด้วยเสียง
ครบครันทุกการเชื่อมต่อ รองรับหลาย Input แต่การใช้งานทั่วไป แค่ต่อสาย HDMI เส้นเดียวเข้ากับช่องต่อ HDMI ARC ที่ด้านหลังทีวีกับ Soundbar ก็เพียงพอแล้ว ให้สังเกตว่าเป็นช่องต่อ ARC ทั้งคู่เท่านั้น
ในกรณีที่เป็นทีวีรุ่นเก่าไม่รองรับ ARC ก็ใช้สาย Optical ต่อเสียงจากทีวีเข้า HDMI ของ JBL Link Bar และใช้สาย HDMI ที่แถมมาในกล่องต่อ Output ของ JBL Link Bar เข้ากับ HDMI Input ของทีวี
ในการรับชมฟรีทีวีช่องทั่วไป เชื่อมต่อเสียงออกที่ JBL Link Bar แทนลำโพงทีวี ไม่มีปัญหาเสียงดีเลย์ ภาพกับเสียงตรงกัน และเสียงที่ได้ก็ดีกว่าลำโพงทีวีเยอะมาก
User Interface (UI) คล้ายกับ Android TV ทั่วไปทั้งที่ใช้ทีวีเครื่องเดิม สามารถติดตั้งแอปพลิเคชันเพิ่มเติมได้เยอะ และสามารถเลือก 6 แอปฯ ที่ใช้งานบ่อยขึ้นมาอยู่บนหน้า Home ได้เลย
LED เปลี่ยนเป็นสีส้มเมื่อปิดไมโครโฟนที่สวิตช์ด้านบน และจะเป็นสีขาวปกติเมื่อกดสั่งงานรีโมทคอนโทรลหรือปรับระดับเสียง
ความบันเทิงจัดเต็มทั้ง Spotify, YouTube และ Netflix สั่งงานด้วยรีโมทคอนโทรลของ JBL Link Bar ตัวเดียวจบ เป็นรีโมทคอนโทรลที่กดได้ง่ายและตอบสนองแม่นยำรวดเร็ว
เลือก Input พร้อมปรับโหมดเสียงและปรับระดับ Bass ได้
ทดสอบการค้นหา Content และสอบถามสภาพอากาศเป็นภาษาไทยด้วยไมโครโฟนบน Soundbar เห็นได้ชัดว่าระบบ Google Assistance มีความฉลาดและแม่นยำดี
เพลิดเพลินกับภาพที่คมชัดสูงสุดระดับ 4K ทั้งบน YouTube และ Netflix
สำหรับบ้านที่ไม่สามารถเจาะยึดผนังใต้ทีวีหรือไม่มีชั้นวาง ก็สามารถติดตั้งเหนือทีวีก็ได้ ทั้งการวางหรือเจาะยึดผนังในระดับสูง เพื่อหลบเลี่ยงเด็กเล็กหรือสัตว์เลี้ยงที่อาจจะซุกซนขยับเล่น Soundbar
หากต้องการเพิ่มอรรถรสในการรับชมภาพยนตร์หรือฟังเพลงสมัยใหม่ที่เน้นเบสลึกและแรงกระแทกเยอะ แนะนำให้ใช้สิทธิ์แลกซื้อในราคาพิเศษเพียง 7,990 บาท ซึ่ง JBL SW10 เป็นลำโพง Active Subwoofer แบบไร้สายที่อิสระในการจัดวาง ใช้ไดรเวอร์ขนาดใหญ่มากถึง 10 นิ้วเช่นเดียวกับ Subwoofer ที่มากับ JBL Bar 3.1 / 5.1 / 9.1 นั่นเอง โดย Pairing เข้ากับ JBL Link Bar ง่าย ๆ เพียงครั้งเดียวด้วยปุ่มเดียว หลังจากนั้นจะเชื่อมต่อกันเองอัตโนมัติ
คำแนะนำ หากไม่ได้ใช้สาย HDMI ที่แถมมาในกล่อง ต้องคำนึงถึงความแข็งและหนาของสาย HDMI ที่อาจจะโค้งงอได้ยาก ซึ่งอาจจะมีปัญหาในการยึดผนัง
ทดสอบเสียง
JBL Link Bar เป็น Soundbar สองแชนเนลแท้ ๆ ไม่ได้เน้น Surround แต่ก็ให้เสียงที่ดีกว่าที่คิด มีมิติเสียงที่ดีพอตัว ดีกว่า Soundbar หลายรุ่นในตลาดที่จำลองเสียงรอบทิศทางจนเสียงมั่วไปหมด จับทิศทางไม่ค่อยได้
JBL Link Bar ให้เสียงสนทนาที่คมชัด ไม่แห้ง มีมวลหนากำลังดี เสียงร้องหวานฉ่ำ เสียงย่านแหลมเมื่อเลือกโหมดเสียงสำหรับการฟังเพลง ใสเป็นประกายพอสมควร ไม่อับทึบหรืออัดอั้น เสียงย่านเบสปรับระดับ +3 ถ่ายทอดเสียงจังหวะกลองได้สนุกสนานดี การปรับเบสเยอะกว่านี้จะไปรบกวนเสียงย่านอื่น ระดับ +3 ถือว่าเหมาะสมที่สุด โดยรวมสำหรับเสียงจาก JBL Link Bar ที่ไม่มีซับวูฟเฟอร์ ก็ถือว่าทำได้ดี ยกระดับเสียงจากลำโพงทีวีขึ้นมาเยอะมาก เสียงดีและฟังได้นาน รู้สึกสนุกสนานในทุกจังหวะเพลง ให้อารมณ์สมจริงในทุกภาพยนตร์ซีรีส์ ฉากฝนตกฟ้าร้อง ก็ให้เสียงที่ใหญ่เกินตัวโดยไม่มีอาการแตกพร่า พลกำลังขับรวม 100 วัตต์ ถือว่าเพียงพอเหลือเฟือสำหรับห้องนอนหรือห้องนั่งเล่น
แต่สำหรับคอภาพยนตร์แอคชั่น หรือเน้นเพลงสมัยใหม่ ไม่ได้ใช้งานในคอนโดมิเนียมห้องขนาดเล็ก แนะนำให้เพิ่มซับวูฟเฟอร์ไร้สาย ซึ่งสะดวกในการจัดวางในมุมห้องแบบไม่มีสายลำโพงเกะกะ ด้วยไดรเวอร์ลำโพงใหญ่ 10 นิ้วแบบยิงลงพื้น เพิ่มอรรถรสได้ดีเยี่ยม สั่นสะเทือนและแรงกระแทกที่หนักมาก
ทดสอบภาพ
JBL Link Bar ให้ Output ของภาพที่คมชัดระดับ 4K และรองรับการส่งผ่านภาพระดับ 4K จากทั้ง 3 HDMI Input ทำให้รับชมภาพที่คมชัดจาก YouTube และ Netflix หลายเรื่องในขณะนี้ได้อย่างเพลิดเพลิน ปัจจุบันมีภาพยนตร์ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่ส่งภาพระดับ 4K ผ่านระบบ Streaming
ฟีเจอร์สั่งงานด้วยเสียง ทำให้กลายเป็นเรื่องสนุกในครอบครัว ทุกคนทุกเพศทุกวัยสามารถค้นหา Video บน YouTube ที่สนใจได้ง่าย ๆ เพียงแค่พูดเป็นภาษาไทยหรืออังกฤษก็ได้ นี่คือคลัง Content ขนาดใหญ่ที่มีคำตอบให้กับทุกคำถามที่อยากรู้
ต่อยอดฟีเจอร์สั่งงานด้วยเสียง
ไปให้ถึงขั้นสุดกับความทันสมัย ติดตั้งชุดแสงสว่างจากไฟ LED Philips Hue เชื่อมต่อกับ JBL Link Series สั่งงานปิดเปิดไฟหรือเปลี่ยนเฉดสีแสงสว่างในห้องโดยการพูดผ่านรีโมทคอนโทรลของ JBL Link Bar หรือไมโครโฟนบนตัว JBL Link Series ที่เชื่อมต่อบนเครือข่ายเดียวกันภายในบ้าน หากเพิ่มซับวูฟเฟอร์ JBL SW10 ก็สามารถจัดงานปาร์ตี้ได้สนุกสนานกันเลย แถมมีไฟเปลี่ยนเฉดสีได้หลายอารมณ์อีกด้วย
ดูข้อมูลเพิ่มเติมและโปรโมชั่นเพิ่มเติมได้ในทุกช่องทางของมหาจักรฯ
COMMENTS