คอนติเนนทอล ออโตโมทีฟ แบงคอก แถลงข่าวผลประกอบการประจำปี 2563 และนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยียานยนต์ล้ำสมัย
• ในปี 2563 คาดการณ์รายได้รวมของคอนติเนนทอลกรุ๊ป 37.5 พันล้านยูโร และมีผลกำไร 3% โดยมีรายได้จากกลุ่มธุรกิจออโตโมทีฟ 22 พันล้านยูโร หรือคิดเป็น 58.5% ของรายได้ทั้งหมด และเดินหน้าโปรเจ็ค Transformation C เพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันขององค์กร
• นำเสนอเทคโนโลยียานยนต์และการเชื่อมต่อดิจิทัลเพื่อก้าวสู่โลกอนาคตอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชันนวัตกรรมยานยนต์ไร้คนขับ เทคโนโลยีการเชื่อมต่อ ระบบข้อมูลและความบันเทิงภายในรถยนต์
คอนติเนนทอล ออโตโมทีฟ แบงคอก ผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยียานยนต์ ได้จัดงานแถลงข่าวการคาดการณ์ผลประกอบการประจำปี 2563 พร้อมทั้งนำเสนอนวัตกรรมยานยนต์มิติใหม่ นำโดย มร. ปีเตอร์ รางเคิล (Mr. Peter Rankl) ประธานฝ่ายบริหารภูมิภาคอาเซียน และ ดร. ณรงศักดิ์ รัตนสุวรรณชาติ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาดภูมิภาคอาเซียน
ในไตรมาส 3 ของปี 2563 คอนติเนนทอลประสบความสำเร็จในการลดค่าใช้จ่ายและต้นทุนของบริษัทลงอย่างต่อเนื่อง และได้มีการอนุมัติเม็ดเงินในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรเพิ่มเติม โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2567 ทั้งนี้ถึงแม้ว่ายอดขายของบริษัทในไตรมาสที่ 3 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2562 ลดลงไป 2.7% แต่เมื่อมองที่ภาพรวมของรายได้มียอดเพิ่มขึ้น 8.1% โดยมีการคาดการณ์รายได้รวมของคอนติเนนทอลกรุ๊ปที่ 37.5 พันล้านยูโร เป็นผลกำไร 3% ทั้งนี้ คาดว่ากลุ่มธุรกิจออโตโมทีฟจะทำรายได้ประมาณ 58.5% ของรายได้ทั้งหมด คิดเป็นจำนวนอยู่ที่ประมาณ 22 พันล้านยูโร
นอกจากนี้คอนติเนนทอลยังคงเดินหน้าโปรเจ็คปฏิรูปองค์กรอย่างยั่งยืนหรือ Transformation C ตั้งแต่ปี 2562-2572 รวมระยะเวลา10 ปี โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ การพัฒนาศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจ และส่งเสริมการเติบโตขององค์กรในระยะยาวอย่างยั่งยืน
ในส่วนของนวัตกรรรมยานยนต์ยุคดิจิทัล มีการนำเสนอแบ่งเป็น 2 กลุ่มธุรกิจ คือ การขับเคลื่อนอัตโนมัติและความปลอดภัย (Autonomous Mobility and Safety) และ เครือข่ายและการเชื่อมต่อข้อมูลยานพาหนะ (Vehicle Networking and Information)
โดยในส่วนแรกมีการนำเสนอเทคโนโลยี Cruising Chauffeur ทำให้ยานพาหนะสามารถเข้าควบคุมการขับขี่บนทางหลวงโดยปฏิบัติตามกฎจราจรของประเทศนั้น ๆ ได้ จนเมื่อใกล้สิ้นสุดทางหลวงก็จะร้องขอให้ผู้ขับขี่ทำหน้าที่ในการขับต่อไป ด้วยการส่งเสียงเตือนและสัญลักษณ์ หากผู้ขับขี่ไม่ตอบสนองต่อการร้องขอ Cruising Chauffeur ก็จะมีการกระตุ้นมากขึ้น เช่น การสั่นเบาะ แต่หากผู้ขับขี่ยังคงไม่ตอบสนองอีก การส่งต่อหน้าที่ขับรถอาจเกิดความเสี่ยง ยานพาหนะจึงขับไปจอดที่ช่องทางฉุกเฉินโดยอัตโนมัติหรือขับต่อไปด้วยความเร็วที่ลดลงเพื่อหาที่จอดรถที่ปลอดภัย
ทั้งนี้ Cruising Chauffeur ให้ความปลอดภัยถึงสองต่อ โดยต่อที่ 1 ระบบอัตโนมัติช่วยหลีกเลี่ยงความผิดพลาดของมนุษย์ พร้อมทั้งมอบความสะดวกสบายในการขับขี่ และในต่อที่สอง Cruising Chauffeur มีโหมดสำรองที่พิเศษไม่เหมือนใคร นั่นคือในกรณีที่ผู้ขับขี่ไม่สามารถควบคุมล้อรถได้ไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม Cruising Chauffeur ก็จะนำรถเข้าจอดอย่างปลอดภัย
เทคโนโลยีต่อมาที่ทำให้คนขับไม่ต้องเสียเวลาในการจอดรถอีกต่อไป คือเทคโนโลยีที่เรียกว่า Valet Parking แค่คนขับลงจากรถตรงจุดส่งรถ จากนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรถในการขับผ่านไม้กั้น และวนเข้าไปหาที่จอดและจอดรถอัตโนมัติอย่างแม่นยำแม้ในพื้นที่แคบ และยังสามารถขับกลับไปหาคนขับ ณ จุดส่งรถโดยอัตโนมัติได้เมื่อมีการกดปุ่มเรียกรถจากแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ
โดยทั่วไปเราจะพบบริการจอดรถได้ตามโรงแรม สนามบิน ร้านอาหาร แม้กระทั่งสถานที่จัดกิจกรรมหรือที่จอดรถบางแห่ง ที่จะมีผู้ดูแลมารับกุญแจรถจากผู้ขับที่ทางเข้าแล้วนำรถไปจอด และนำรถกลับมาให้ที่จุดส่งเพื่อรับรถคืน คอนติเนนทอลผู้นำด้านเทคโนโลยีจึงได้พัฒนาวิธีการอัตโนมัติที่ทำให้ตัวรถสามารถจอดเองได้
ผู้ขับขี่สามารถขับรถมาตรงจุดส่งรถที่หน้าทางเข้าที่จอดรถและเปิดโหมด Valet Parking จากนั้นรถก็วิ่งผ่านไม้กั้นประตูเข้าไปหาพื้นที่ว่างแล้วจอดรถโดยอัตโนมัติ และเมื่อผู้ขับขี่กดปุ่มบนโทรศัพท์มือถือ รถก็กลับมายังจุดส่งรถด้วยตัวเองโดยอัตโนมัติ
Valet Parking เพื่อคลายขั้นตอนอันแสนเบื่อหน่ายให้แก่ผู้ขับขี่ทั้งหลาย ด้วยฟังก์ชัน Valet Parking ที่เพิ่มความสะดวกสบายและประหยัดเวลาอย่างแท้จริง และยังเป็นการก้าวไปสู่ยานยนต์ที่ทันสมัยด้วยการขับขี่อัตโนมัติแบบเต็มขั้นอย่างเป็นรูปธรรม
การพัฒนา Valet Parking มีอยู่ด้วยกัน 2 ระดับ โดยระดับแรก ยานพาหนะนำทางอย่างอิสระ และค้นหาที่ว่างแล้วจอดด้วยตัวเองที่ชั้น 1 ของที่จอดรถ เมื่อมีคนเดินถนนหรือยานพาหนะอื่นๆ ถูกตรวจจับว่ามีการข้ามผ่านเส้นทางของรถ การขับขี่จะทำการปรับเปลี่ยนโดยทันที ส่วนในการพัฒนาระดับต่อไป ระบบจะทำให้รถสามารถขึ้นรถลงไปชั้นอื่น ๆ ได้ด้วย
ในสถานการณ์เบื้องต้นระบบ Valet Parking จะสื่อสารไร้สายกับไม้กั้นประตูทางเข้าที่จอดรถเพื่อเปิดให้รถเข้าและคำนวณเวลาในการจอดโดยอัตโนมัติ ด้วยคลื่นความถี่วิทยุ (RFID) ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศที่มีอยู่แล้วตรงบริเวณทางเข้าให้ผู้ที่มีบัตรอนุญาตเข้าไปในที่จอดรถได้ แม้ว่าระบบนี้จะไม่ได้มีใช้อยู่ทุกที่ แต่ฟังก์ชัน Valet Parking ก็ยังสามารถทำงานได้หลังจากผ่านไม้กั้นประตู ในกรณีนี้ผู้ขับขี่จะต้องรับบัตรจอดรถเองแล้วขับผ่านไม้กั้นประตูเข้ามา จากนั้นจึงปล่อยให้รถดำเนินการจอดด้วยตัวเองได้ อีกทั้งตัวรถยังสามารถขับไปถึงที่กั้นตรงทางออกเพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถจ่ายค่าจอดรถได้
Valet Parking ได้รับการพัฒนาขึ้นมาจากโครงสร้างพื้นฐานที่มีในที่จอดรถเพื่อให้รถสามารถหาพื้นที่ว่างในการจอดรถได้ โดยไม่ต้องมีการเปลี่ยนหรือลงทุนกับกล้องหรือไม้กั้นเพิ่มเติมเลย โดยรถทดลองจะตรวจจับสิ่งที่อยู่รอบตัวรถจากเซ็นเซอร์ตรวจจับระยะใกล้ 4 ตัว กล้องมองภาพรอบคัน 4 ตัว และกล้องหน้ารถ 1 ตัว จากนั้นใช้ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ดังกล่าวและแผนที่ดิจิทัลในการกำหนดตำแหน่งที่แน่นอนและนำทางอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบ คาดว่าการทำให้ฟังชันก์ Valet Parking สามารถนำทางตัวเองให้ขับขึ้นลงเองได้จะสามารถทำได้ภายในปี 2565
อีกหนึ่งคุณลักษณะของฟังก์ชัน Valet Parking ก็คือความแม่นยำในการจอดรถในพื้นที่แคบเพียง 10 เซนติเมตรจากขอบกระจกมองรถทั้งสองข้าง เมื่อผู้ขับขี่ไม่ต้องออกจากรถหลังจากจอดแล้ว ดังนั้นพื้นที่แคบ ๆในที่จอดรถจึงใช้ได้มากขึ้น
เมื่อพูดถึงเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับความอัจฉริยะในระบบเครือข่ายและการเชื่อมต่อข้อมูลต่าง ๆ คอนติเนนทอลก็ได้มีการนำเสนอ CoSmA ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อระหว่างยานพาหนะเข้ากับโทรศัพท์มือถือ ที่ทำให้เราสามารถสื่อสาร สั่งการ รวมถึงเฝ้าดูรถได้จากโทรศัพท์มือถือ
และในส่วนของเทคโนโลยีภายในห้องโดยสาร คอนติเนนทอลได้กล่าวถึงหน้าจอสามมิติที่ดูเป็นธรรมชาติด้วยเทคโนโลยี Lightfield ซึ่งเป็นมิติใหม่ของระบบ 3 มิติที่ทำให้ผู้โดยสารทั้งด้านหน้า ด้านหลัง และคนขับได้สัมผัสประสบการณ์ 3 มิติโดยไม่ต้องใส่แว่น และไม่รบกวนสมาธิในการขับขี่อีกด้วย
และสิ่งขาดไม่ได้เลยในนวัตกรรมยานต์นั้นก็คือ ระบบเทเลเมติกส์ ที่เป็นการเชื่อมต่อยานพาหนะทั้งรถยนต์ส่วนบุคคล และยานพาหนะเพื่อการพาณิชย์ เข้ากับคลื่นสัญญาณ 5G ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการนำยานพาหนะเข้าสู่โลกแห่งการขับเคลื่อนอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบ อีกทั้งยังคลายความกังวลในด้านความปลอดภัยทั้งกับตัวรถและผู้ใช้รถ รวมไปถึงการเข้าถึงความบันเทิงและการอัปเดตแอปพลิเคชันหรือซอฟต์แวร์ต่าง ๆ อีกด้วย
ทั้งนี้ เทคโนโลยีที่นำเสนอมาเกือบทั้งหมดจากคอนติเนนทอลนั้น ได้มีการนำเอามาใช้กับรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดของ Volkswagen ID.3 เพื่อให้ผู้ขับขี่ได้สัมผัสประสบการณ์รถยนต์ที่เป็นนวัตกรรมอันล้ำหน้าจากคอนติเนนทอลได้อย่างสมบูรณ์แบบ
COMMENTS