บริษัท บอน-ซอง จำกัด ผู้จำหน่ายยา เวชภัณฑ์ความงามและเครื่องมือแพทย์ ภายใต้การบริหารงานโดย “นายณกรณ์ กรณ์หิรัญ” กำลังเติบโตได้เป็นอย่างดี โดยมียอดจำหน่ายโบท็อกซ์ปีละหลายแสนโดสและปีนี้ยังได้เปิดตัว “Filler Flore” ฟิลเลอร์ตัวใหม่ คาดหวังได้รับผลตอบอย่างดี สร้างยอดขายเติบโตเท่าตัว โดยปี 2566 ตั้งเป้าบริษัท บอน-ซอง จะมีรายได้ 600 – 700 ล้านบาท เผยแผนในอนาคตเตรียมเปิดคลินิกศัลยกรรมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จับกลุ่มเป้าหมายระดับกลางถึงพรีเมียม
นายณกรณ์ กรณ์หิรัญ กรรมการที่ปรึกษา บริษัท บอน-ซอง จำกัด ผู้จำหน่ายยา เวชภัณฑ์ความงามและเครื่องมือแพทย์ กล่าวว่า บริษัท บอน-ซอง จำกัด เปิดดำเนินธุรกิจมา 11 ปีแล้ว โดยในช่วงแรกจำหน่ายโบท็อกซ์ให้กับวุฒิศักดิ์คลินิกเพียงอย่างเดียว เพื่อสร้างความแตกต่างจากคลินิกแบรนด์อื่น ๆ แต่หลังจากได้ขายหุ้นวุฒิศักดิ์คลินิกแล้ว บริษัทก็เริ่มจำหน่ายโบท็อกซ์ให้กับคลินิกแบรนด์อื่น ๆ
สำหรับตลาดความงามในช่วงโควิด – 19 เรียกว่าไม่ได้หดตัวลงเลย เห็นได้จากยอดการจำหน่ายโบท็อกซ์ของบริษัทยังคงเหมือนเดิม นอกจากนี้ จะเห็นบิลบอร์ดด้านความงามติดเต็มไปหมด โดยเฉพาะหลังโควิด – 19 บิลบอร์ดด้านความงามมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
“การที่บิลบอร์ดด้านความงามมีจำนวนมากขึ้น ตอกย้ำให้เห็นว่าธุรกิจนี้โตทุกปี แม้จะมีล้มหายตายจากไปบ้างแต่ก็เชื่อว่าไม่เกิน 10% ที่ปิดตัว ส่วนหนึ่งเพราะเจ้าของคลินิกเขาอาจจะไม่ใช่แพทย์หรือไม่มีหุ้นส่วนเป็นแพทย์ทำให้ต้องปิดตัวไปและบางรายปิดตัวเพราะแข่งขันเรื่องราคาไม่ไหว”
สำหรับมูลค่าตลาดความงามในไทยถือว่ามีมูลค่าที่สูงและเติบโตทุกปี เห็นได้จากจำนวนการจำหน่ายโบท็อกซ์และเวชศาสตร์ความงามอื่นๆ ของบริษัท อย่าง โบท็อกซ์แต่ละปีจำหน่ายได้เป็นแสนๆ โดส ในขณะที่ตลาดมีแบรนด์ใหญ่ๆ เพียง 2-3 แบรนด์เท่านั้น
ด้านการแข่งขันของธุรกิจความงามปัจจุบันแข่งขันด้วยนวัตกรรม ความชำนาญของแพทย์และการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นของแท้เป็นหลัก แต่ยังมีการแข่งขันกันในเรื่องราคาบ้าง สำหรับจุดเด่นของสินค้าบริษัท คือ มีความเป็นพรีเมียม เห็นผลเร็วและฉีดแล้วหน้าตึงกว่า
“ตอนนี้เราเลิก OEM กับโบท็อกซ์โรงงานเก่าแล้วและมาทำสัญญากับโรงงานใหม่แบรนด์ BNC ซึ่งเป็นแบรนด์เกาหลีเช่นกัน คนชอบมองว่าโบท็อกซ์ของอเมริกาดีกว่า แต่จริงๆ แล้วโบท็อกซ์ของเกาหลีดีไม่แพ้กันและราคาไม่สูงเกินไป”
นายณกรณ์ กล่าวต่อว่า สำหรับรายได้ของบริษัท บอน-ซอง ในปี 2566 ตั้งเป้าอยู่ที่ 600 – 700 ล้านบาท โดยจะมาจากโบท็อกซ์และการเปิดตัวสินค้าใหม่ อย่าง Filler Flore ซึ่งน่าจะสร้างยอดขายได้เท่าตัว ส่วนรายได้จากการจำหน่ายวิตามินและอาหารเสริมต่างๆ ในช่องทาง 7 – 11 ซึ่งผลิตโดยบริษัทย่อยเชื่อว่ายังไปได้ดี เพราะปีนี้ก็สามารถสร้างรายได้ถึง 700 ล้านบาทแล้วและในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 จะมีสินค้าเข้า 7 -11 อีกหลายรายการ เช่น วิตามินบีรวม วิตามินซี กลูต้า เป็นต้น
“วิตามินและอาหารเสริมที่จำหน่ายใน 7-11 ทำตลาดได้ดีมาก เราติด 1 ใน 3 สินค้าขายดีของ 7-11 เพราะลูกค้าใช้แล้วเห็นผลดีและเรารู้จักช่องทางจำหน่ายนี้เป็นอย่างดี สินค้าที่จำหน่ายในช่องทางนี้จะต้องเป็นสินค้าจำเป็นต่อลูกค้า เช่น วิตามิน จำเป็นต้องกิน กินแล้วเห็นผลหรือเปล่าลูกค้าไม่รู้ แต่เขารู้ว่าเขาต้องกิน”
นอกจากนี้ ในอนาคตจะมีการจับมือกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเปิดคลินิกศัลยกรรม โดยจับกลุ่มเป้าหมายระดับกลางถึงพรีเมียม สำหรับการทำตลาดในปี 2566 จะมุ่งเน้นทั้งตลาดออนไลน์และออฟไลน์ โดยออฟไลน์ในปีหน้าจะได้เห็นบิลบอร์ด 7 บิลบอร์ด เป็นโฆษณาคลินิกศัลยกรรมที่ทำร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 2 บิลบอร์ด เป็นโฆษณาเกี่ยวกับเวชศาสตร์ความงามโดยมีนัท มีเรีย หญิง รฐา และตนเองเป็นพรีเซ็นเตอร์ 3 บิลบอร์ด และอีก 2 บิลบอร์ดเป็นการโปรโมทคลินิกที่ซื้อสินค้าของบริษัทไปให้บริการลูกค้า
นายณกรณ์ กล่าวอีกว่า แม้บริษัท บอน-ซอง จะไม่ได้รับผลกระทบในช่วงโควิด – 19 แต่ธุรกิจโรงแรมที่เชียงใหม่ได้รับผลกระทบมาตลอด 2 ปี ซึ่งตนเองแบกรับค่าใช้จ่ายโรงแรมมาตลอด โดยนำรายได้ของบริษัท บอน-ซอง เข้ามาช่วยซัพพอร์ต จนถึงปัจจุบันธุรกิจโรงแรมกลับมาแล้วและสร้างรายได้เดือนนี้ 14 ล้านบาท
“ช่วงนั้นเราก็จับแพะชนแกะ เอารายได้จากบริษัท บอน-ซอง และโรงงานผลิตหน้ากากอนามัยมาช่วยธุรกิจโรงแรมเพื่อผยุงธุรกิจ”
จากความสำเร็จของ “นายณกรณ์ กรณ์หิรัญ” ตลอดเวลาที่ผ่านมา เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดี ถึงวิสัยทัศน์ในการมองธุรกิจที่เฉียบคม
“ช่วงหลังก็มีนักธุรกิจและเพื่อน ๆ เข้ามาพูดคุยเพื่อทำธุรกิจร่วมกัน ทำให้เกิดธุรกิจที่หลากหลายจากเดิม ซึ่งเราตั้งใจว่าจะทำเอาสนุก ๆ และทดสอบความคิดตัวเอง ไม่ได้ทำแบบสมัยก่อนที่จริงจังและเครียด ขอแค่ไม่แพ้ก็พอ แต่ส่วนใหญ่ธุรกิจที่เริ่มก็ประสบความสำเร็จด้วยดี”
COMMENTS