แบรนด์ใหม่สำหรับลูกค้าองค์กร PropertyGuru For Business มาพร้อมโซลูชั่นครบวงจร เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มธุรกิจและองค์กรในภาคอสังหาริมทรัพย์ทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเน้นการใช้ซอฟต์แวร์ด้านข้อมูล และเครื่องมือวิเคราะห์รวมไปถึงข้อมูลเชิงลึก
บริษัท พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป จำกัด (บริษัทเทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE: PGRU) ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย และ thinkofliving.com เว็บไซต์รีวิวอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศ) เปิดตัวแบรนด์ใหม่ล่าสุดที่งานสัมมนาประจำปี พร็อพเพอร์ตี้กูรู เอเชีย เรียล เอสเตท ซัมมิท (PropertyGuru Asia Real Estate Summit) ที่รวบรวมเหล่าผู้นำธุรกิจชั้นนำในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์มาร่วมแชร์ข้อมูลเชิงลึก รวมไปถึงการสร้างเครือข่ายในอุตสาหกรรมร่วมกัน
นายแฮรี่ วี คริชนัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป กล่าวว่า “วันนี้พร็อพเพอร์ตี้กูรูของเรามีอายุครบ 15 ปีพอดี และเราขอใช้โอกาสนี้เปิดตัวแบรนด์ใหม่สำหรับกลุ่มลูกค้าองค์กรของเรา นั่นคือ “พร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนส (PropertyGuru For Business)” ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยให้คำแนะนำลูกค้าในกลุ่มธุรกิจและองค์กร อาทิ ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์, เอเจนซี่อสังหาฯ, ธนาคารและสถาบันการเงิน, นักประเมินค่าทรัพย์สิน, นักวางผังเมือง รวมไปถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการวางนโยบายต่าง ๆ ความใฝ่ฝันของเราคือการสร้างความโปร่งใสให้กับเส้นทางอสังหาฯ และสร้างแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือและไว้วางใจได้สำหรับทุกคนที่หาบ้านรวมไปถึงพันธมิตรทางธุรกิจของเรา ด้วยการทุ่มเทสรรพกำลังทั้งข้อมูล เทคโนโลยี และบุคลากรที่เรามี เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจให้กับพันธมิตรทางธุรกิจและลูกค้าของเราได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น”
การตัดสินใจต่าง ๆ ในระดับองค์กร หรือในระดับเมือง นับเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ เนื่องจากส่งผลกระทบต่อผู้คนนับพัน หรืออาจมากกว่าหลายล้านคน พร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนสจะเป็นโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ ที่ช่วยแนะแนวทางให้กับลูกค้าของเราเพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดความเสี่ยงและความไม่แน่นอนลง เราเชื่อว่า พร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนส เปิดตัวในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าองค์กรของเรามีข้อมูล, เครื่องมือ และรายละเอียดที่ถูกต้องในการตัดสินใจ เพื่อรับมือกับสภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนที่รออยู่ข้างหน้า และเตรียมพร้อมให้บริการลูกค้าของพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น”
บริการและโซลูชั่นหลักของพร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนส ประกอบด้วย ดาต้าเซนส์ (DataSense), แวลูเน็ต (ValueNet), ฟาสต์คีย์ (FastKey), การจัดอีเวนต์ต่าง ๆ รวมไปถึงการบริการด้านกลยุทธ์การตลาด (MaaS)
นายแฮรี่ยังเผยอีกด้วยว่า ข้อมูลตลาดเชิงลึกของพร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนส อย่าง “ดาต้าเซนส์” นั้น (ก่อนหน้านี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ แวนเทจพลัส (Vantage+)) จะนำเสนอชุดฟีเจอร์และโซลูชั่นใหม่ ๆ ที่ช่วยตอบโจทย์ผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯ นำข้อมูลบทวิเคราะห์ไปใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการดำเนินธุรกิจของตัวเองได้เป็นอย่างดี โดยปัจจุบันดาต้าเซนส์มีให้บริการเฉพาะในประเทศมาเลเซียเท่านั้น โดยมีแผนจะขยายบริการดังกล่าวมายังประเทศสิงคโปร์, เวียดนาม, ไทย และอินโดนีเซียต่อไป
การเปิดตัวของพร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนสในครั้งนี้ ถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมเนื่องจากภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังอยู่ในช่วงที่เทคโนโลยีกำลังได้รับความสนใจ และองค์กรต่าง ๆ กำลังพยายามเปลี่ยนผ่านสู่โลกดิจิทัลมากยิ่งขึ้น ทำให้บริการและโซลูชั่นของเรามีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้
ด้านนางชินยี โฮ-สแตรนกาส กรรมการผู้จัดการ หน่วยธุรกิจการบริการข้อมูลและซอฟต์แวร์ (DSS) พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป กล่าวว่า “เราทราบดีว่าแต่ละประเทศมีขั้นตอน กฎระเบียบในการครอบครอง รวมไปถึงการจัดการที่ดิน และอสังหาริมทรัพย์ที่แตกต่างกัน ดังนั้น พร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนสจะทำงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาและปรับปรุงระบบในประเทศที่เราให้บริการ โดยจะนำเอาระบบดิจิทัลเข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในธุรกิจอสังหาฯ สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกเพื่อช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น ในระบบนิเวศของธุรกิจอสังหาฯ ที่มีความโปร่งใสยิ่งขึ้น
ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่ยังใช้ระบบและกระบวนการทำงานแบบดั้งเดิม ซึ่งไม่ได้แบ่งปันแบบดิจิทัลทำให้ยากต่อการอัปเดต แก้ไข หรือปรับปรุง อย่างไรก็ตาม สำหรับองค์กรและบริษัทต่าง ๆ ที่พร้อมจะใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลแล้ว บริการและโซลูชั่นของ พร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนส คือคำตอบสำหรับลูกค้าที่กำลังมองหาแพลตฟอร์มข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และซอฟต์แวร์อัจฉริยะที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจของคุณ ข้อมูลเชิงลึกในภาคอสังหาฯ นั้นไม่ได้มีประโยชน์แค่เฉพาะกับผู้พัฒนาโครงการที่มีวิสัยทัศน์เท่านั้น แต่การทำให้ข้อมูลเป็นดิจิทัลยังมีประโยชน์นานัปการสำหรับทุกคนในวงจรของอสังหาฯ ไม่ว่าจะเป็น การเงิน-การธนาคาร, การก่อสร้าง รวมไปถึงผู้ให้บริการต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมอสังหาฯ อีกด้วย
นี่คือความตั้งใจของเราที่จะสนับสนุนความยั่งยืน, นวัตกรรม และเทคโนโลยีให้กับภูมิภาคนี้”
ในขณะที่นายเจเรมี วิลเลียมส์ กรรมการผู้จัดการ หน่วยธุรกิจมาร์เก็ตเพลส พร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป กล่าวถึงความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปในภาคธุรกิจอสังหาฯ ว่า “ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเผชิญกับความต้องการในการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัล และบิ๊กดาต้า ควบคู่กับความสามารถที่จะมอบบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการที่เฉพาะเจาะจงกับลูกค้าได้เป็นอย่างดี การรวมบริการและโซลูชั่นของเราให้อยู่ภายใต้แบรนด์เดียวจะช่วยให้เราสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าเราได้ดียิ่งขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ การตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตของผู้คนที่พึ่งพาข้อมูลด้านอสังหาฯ เหล่านี้”
“พร็อพเพอร์ตี้กูรู ฟอร์ บิสิเนสจะช่วยให้ผู้คนในแวดวงอสังหาฯ เข้าถึงรายการประกาศอสังหาฯ กว่าล้านรายการบนเว็บไซต์ต่าง ๆ ของเรา ซึ่งประกาศเหล่านี้จะให้ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมที่หาไม่ได้จากแพลตฟอร์มอื่น ๆ ช่วยให้ลูกค้าของเราเห็นตลาดภาพรวมได้ชัดเจนยิ่งขึ้น” นายเจเรมีกล่าวสรุป
แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปี 2566
สิงคโปร์
• ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566 กิจกรรมการขายในตลาดที่อยู่อาศัยของสิงคโปร์คาดว่าจะมีการชะลอตัวเนื่องจากหลายปัจจัยด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นมาตรการควบคุมความร้อนแรงของราคาซึ่งบังคับใช้ในเดือน ธ.ค. 2565 แรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อ รวมไปถึงอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ภาพรวมของเศรษฐกิจโดยรวมยังไม่มีแนวโน้มว่าจะฟื้นตัว
• สินค้าที่ผู้ซื้ออสังหาฯ ชาวสิงคโปร์ให้ความนิยมคือ แฟลต HDB (Housing and Development Board) ที่มีพื้นที่กว้าง ซึ่งในช่วงปี 2565 ที่ผ่านมาเกิดสถิติการซื้อขายแฟลต HDB ที่สูงถึงล้านเหรียญสิงคโปร์ดอลลาร์เลยทีเดียว
• ในปี 2566 เป็นที่คาดว่ากลุ่มผู้ซื้อบ้านหลังแรกในสิงคโปร์จะเบนเข็มไปเป็นการเช่าแทน เนื่องจากไม่มีเงินเก็บมากพอที่จะเริ่มต้นซื้อบ้านได้
• อย่างไรก็ดี ในระยะกลาง-ระยะยาว สิงคโปร์จะยังคงเป็นประเทศที่สามารถดึงดูดนักลงทุนและผู้ซื้อต่างชาติเข้ามาได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้เกิดรายได้และคนมีพรสวรรค์ใหม่ ๆ ขึ้นในตลาด และแน่นอนว่าจะทำให้เกิดดีมานด์ใหม่ ๆ ในที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นได้อีก
มาเลเซีย
• เช่นเดียวกับตลาดสิงคโปร์ และตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาค สิ่งที่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในมาเลเซียต้องเผชิญในปี 2566 คืออัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่เพิ่มสูงขึ้นจากดอกเบี้ยนโยบายที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง ดังนั้น ในการซื้อที่อยู่อาศัย ผู้ซื้อจะใช้เวลาในการตัดสินใจค่อนข้างนานกว่าปกติ แต่อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้นนั้นดูจะไม่ค่อยส่งผลกระทบต่อตลาดนักลงทุนเท่าใดนัก เนื่องจากยังมีส่วนได้จากส่วนต่างของกำไรจากการขายหรือการปล่อยเช่าที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง
• ส่วนตลาดผู้ขายก็ชะลอตัวไม่แพ้กัน นอกจากต้องดึงดูดผู้ซื้อด้วยการแข่งกันลดราคา เนื่องจากซัพพลายที่มีอยู่ในตลาดนั้นมีปริมาณค่อนข้างมาก
• แม้เศรษฐกิจของมาเลเซียจะถูกคาดการณ์ว่าจะยังคงอยู่ในช่วงชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก แต่สำหรับสภาวะตลาดที่อยู่อาศัยนั้นคาดว่ายังคงไปต่อได้ โดยมีการคาดการณ์ว่ารัฐบาลเตรียมออกนโยบายเพื่อช่วยเหลือให้ชาวมาเลเซียมีบ้านได้ง่ายขึ้นในปีหน้านั่นเอง
อินโดนีเซีย
• แม้ในปี 2566 เราจะยังคงอยู่ในยุคเศรษฐกิจโลกถดถอย แต่สำหรับอินโดนีเซียแล้ว การถดถอยของเศรษฐกิจคงไม่หนักเท่าพิษเศรษฐกิจอันเกิดจากโควิด-19 ที่ผ่านมา เนื่องจากอินโดนีเซียเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าจำเป็นอย่างน้ำมันปาล์มและถ่านหิน ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดนั่นเอง
• การขยายตัวของระบบขนส่งในประเทศ อาทิ ถนนและระบบขนส่งสาธารณะอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดทำเลศักยภาพใหม่ ๆ ขึ้นในอินโดนีเซีย และนั่นหมายถึงตัวเลือกที่เพิ่มมากขึ้นของผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยในอินโดนีเซีย และราคาจะยังอยู่ในระดับที่จับต้องได้ ดังนั้นจึงเป็นโอกาสของผู้ที่สนใจจะซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองหรือลงทุนในทำเลศักยภาพใหม่เหล่านี้
• ในช่วงปลายปี 2565 พบว่าราคาและดีมานด์ในที่อยู่อาศัยในอินโดนีเซียมีการปรับตัวขึ้น โดยเฉพาะบ้านเซ็กเมนต์ 1 พันล้านรูเปียห์อินโดนีเซียขึ้นไป (ราว 2.3 ล้านบาท) มีการค้นหาถึง 56% บนเว็บไซต์ Rumah.com เมื่อเทียบกับอสังหาฯ ราคาอื่น ๆ และคาดว่าแนวโน้มดังกล่าวน่าจะยังคงอยู่ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2566
• อีกหนึ่งปัจจัยของการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ในอินโดนีเซียในปี 2566 ขึ้นอยู่กับมาตรการจากทางรัฐบาลในการที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้ของประชากรในประเทศนั่นเอง
เวียดนาม
• ในขณะที่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของตลาดอื่น ๆ ในภูมิภาคจะเป็นไปอย่างช้า ๆ แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเวียดนามในปี 2566 คาดว่าจะเป็นแบบ K-shape โดยที่ภาคส่วนต่าง ๆ มีอัตราการเติบโตที่แตกต่างกันออกไป
• โดยอุตสาหกรรมการส่งออกจะเติบโตอย่างคึกคักจากการเข้ามาลงทุนโดยตรงของนักลงทุนต่างชาติ ในขณะที่ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กลับคาดว่าจะเกิดการชะลอตัวเช่นเดียวกับตลาดอื่น ๆ
• อย่างไรก็ดี ด้วยปริมาณซัพพลายที่ค่อนข้างน้อยในตลาดปัจจุบัน ผนวกกับเศรษฐกิจของเวียดนามที่คาดว่าจะโตดีกว่าประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค จะส่งผลต่อตลาดที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในเรื่องของราคาในตลาดรีเซล หรือบ้านมือสอง
• อัตราสินเชื่อที่เพิ่มสูงขึ้นมีแนวโน้มที่ทำให้ผู้ซื้อบ้านในเวียดนามโดยเฉพาะในเซ็กเมนต์ตลาดกลางจะเปลี่ยนไปเช่าแทนการซื้อ
ไทย
• ราคาอสังหาฯ โดยเฉพาะโครงการเปิดใหม่ในปี 2566 มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น 5-10% จากราคาต้นทุนการก่อสร้างทั้งค่าวัสดุ ค่าแรงขั้นต่ำ และราคาที่ดินที่สูงขึ้น แต่ถือเป็นโอกาสของบ้านมือสองหรือบ้านราคาต้นทุนเดิมที่คาดว่าจะได้รับความสนใจจากผู้ซื้อมากขึ้น
• บ้านเดี่ยวมีแนวโน้มที่ราคาจะปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการพื้นที่ใช้สอยที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภค และความคืบหน้าของเส้นทางรถไฟฟ้าที่ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก ซึ่งมักเป็นทำเลของบ้านเดี่ยว จึงส่งผลให้ระดับราคาอสังหาฯ เพิ่มขึ้น
• ปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่มีแนวโน้มสูงขึ้นจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงขึ้นอีก ส่งผลต่อผู้ที่กู้ซื้อบ้าน หรือกำลังผ่อนบ้านอยู่ ต้องจ่ายค่างวดมากขึ้น หรือใช้ระยะเวลาผ่อนนานขึ้น
• มาตรการรัฐที่หมดไปในสิ้นปี 2565 เช่น การลดค่าโอน-จดจำนอง เหลือ 0.01% รวมถึงมาตรการผ่อนคลาย LTV ทำให้ผู้ซื้อบ้านหลังที่สองขึ้นไป หรือบ้านหลังแรกที่ราคาเกิน 10 ล้านบาท ต้องวางเงินดาวน์ 10-30% อาจทำให้ตลาดอสังหาฯ ชะลอตัว
แหล่งข้อมูล: Property Market Outlook 2023 Reports by PropertyGuru Singapore, PropertyGuru Malaysia, Rumah.com, และ DDproperty
COMMENTS